วัฒนธรรมไทย-เขมร ปล่อยให้มีการจลาจลที่สถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ ตั้งแต่กรณีที่สื่อกัมพูชาตีข่าวดาราสาวชาวไทย “กบ สุวนันท์ ” ประกาศเมื่อปี 2546 ว่านครวัดเป็นของไทยเพราะปราสาทพระวิหาร ถึงภาพปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ ในมิวสิควิดีโอของ ลิซ่า แบล็คพิ้งค์ ที่ทำให้ชาวโซเชียลกัมพูชาบอกว่าเธอคือสมบัติของชาติ และล่าสุด มวยเขมร “กุนเขมร” ในซีเกมส์ ดูเหมือนไทยและเพื่อนบ้านจะ ทางตะวันออก ประเทศนี้ “ดราม่า” มากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ
จากยุคอนาล็อกที่ดาราไทยเปิดตัวนครวัดเมื่อ 20 ปีที่แล้ว สู่ยุคดิจิทัลที่มีการโต้เถียงกันระหว่างผู้คนบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญชาวกัมพูชามีคำตอบที่อธิบายว่าประวัติศาสตร์ของทั้งสองชาติเป็นสาเหตุของ “ปัญหา” ที่เราเห็นในปัจจุบัน
มรดกทางศิลป วัฒนธรรมไทย-เขมร
วัฒนธรรมไทย-เขมร มรดกทางวัฒนธรรม ร่วมกันของไทยและกัมพูชาคืออะไร? แล้วเราเลิกกันเมื่อไหร่? อาจารย์ ดร. ธิบดี บัวคำศรี อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับบีบีซีว่า ทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชา “เราอยู่ด้วยกันและแยกกันตั้งแต่ก่อนเกิดรัฐชาติ” กับการเกิดขึ้นของรัฐชาติกัมพูชาเท่านั้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสและมีความสัมพันธ์กับสยาม ดังนั้นความแตกต่างก็คือปัญหาไม่เคยเป็นปัญหามาก่อน
สำหรับยุคปัจจุบันหากจะกล่าวถึงเรื่องราวของแต่ละวัฒนธรรมที่เป็นวัฒนธรรมร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชาคืออะไร? หรือ “ราก” เดียวกันคืออะไร ดร. ธิบดีให้ความเห็นว่าอาจกล่าวได้ว่าเป็นต้นตระกูลเดียวกันหรือรวมกันก็ได้ แต่ส่วนอื่นๆ ของวัฒนธรรมเหล่านี้อาจ “ผสม” หรือ “ซื้อขาย” กันไปมา ทำให้รากเหง้าไม่ชัดเจน
“จริงอยู่ อาจไม่มีรากเหง้า มีเพียงรุ่นของเราเท่านั้นที่พยายามกลับไปสู่รากเหง้าของมัน มันมาจากที่นี่ แต่ฉันคิดว่ามันคงไม่มีประโยชน์ นับว่าเป็นเช่นนั้น เพราะจริงๆ แล้วเราอาจหาไม่พบว่ารากของมันอยู่ที่ไหน? เพราะมันสลับกันไปมาจริงๆ เพราะคนอยู่ด้วยกันมาเจอกันที่นี่หรือไปทำศึกทะเลาะวิวาท…”
สงครามกับช่องทางแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
เมื่อถูกถามว่าสยาม (คนไทย) มีอารยธรรมอะไรร่วมกับเขมรและมีตั้งแต่เมื่อไหร่? อาจารย์ ดร. ธิบดีบอกว่าถ้าพวกเขาย้อนกลับไป มันอาจจะมาจากยุคหิน หรืออย่างช้าสุดสามารถกลับได้ตั้งแต่ 12.-13. ศตวรรษหรือก่อนหน้านั้น “ถ้าพูดให้เข้าใจก็คือก่อนสมัยสุโขทัย”
นักประวัติศาสตร์ที่ศึกษากัมพูชากล่าวว่าเกี่ยวกับภาษาที่สามารถเกี่ยวข้องกับ กลุ่มชาติพันธุ์ หรือเชื้อชาตินี้ ไทยและเขมรอยู่คนละกลุ่มกัน แต่ด้วยชุมชนของคน 2 กลุ่มที่มีความใกล้ชิดกัน จึงมีการแลกเปลี่ยนกันทำให้ทั้งสองภาษา มีอิทธิพลต่อกันและกัน
ดร. ธิบดียังกล่าวอีกว่าการติดต่อสัมพันธ์กันนั้นมีมากในแง่ของความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันพอๆ กับการซื้อขาย และทำสงครามระหว่างพวกเขาและบังคับให้ผู้คนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกันอีกทางหนึ่ง
“บางครั้งสงครามก็เกิดขึ้น บางครั้งมีการติดต่อทางการค้า บางครั้งก็แต่งงานกัน ดังนั้นในภาษาไทยเราจึงเห็นอิทธิพลของภาษาเขมรในภาษาไทย และได้เห็น ภาษาไทย เป็น ภาษาเขมร ”
สำหรับสงครามครั้งใหญ่ ศาสตราจารย์ ดร. ธิบดีกล่าวว่าเท่าที่มีหลักฐานที่เกี่ยวข้อง สงครามครั้งใหญ่ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 15 หรือประมาณ 100 ปีหลังการสถาปนากรุงศรีอยุธยา สยามส่งกองทัพเข้ายึดศูนย์กลางการเมืองการปกครองของกัมพูชา ซึ่งขณะนั้นอยู่ในเมืองเสียมราฐ หรือที่ตั้งของนครวัด นครธม ซึ่งทำสงครามกวาดต้อนผู้คน รวมทั้งฤๅษี พราหมณ์ ทรัพย์สมบัติทั้งปวง รวมทั้งภาพสำริดสมัยอยุธยาอื่นๆ
“นี่คือหนึ่งในอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไทยได้รับจากกัมพูชา”
เขมรนิยมไทย หรือไทยนิยมเขมร
ดร. ธิบดียังคงดำเนินต่อไปเมื่อเข้าสู่สมัยกรุงธนบุรี กลางศตวรรษที่ 18 หรือต้นกรุงเทพฯ (รัตนโกสินทร์) ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 สงครามเกิดขึ้นบ่อยขึ้น ในกัมพูชาเอง กลุ่มการเมืองของเจ้านายและขุนนางต่างต่อสู้กันเป็นการภายในเพื่อ แย่งชิงอำนาจ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาหรือตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 เมื่อสู้ฝ่ายหนึ่งไม่ได้ก็ยกทัพมาอยุธยาหรือกรุงเทพฯ
เช่นนี้ซึ่งทำให้เกิดอีกสิ่งหนึ่ง มีกลุ่มคนที่ “สนับสนุน” (สนับสนุน) สยาม ซึ่งอาจรวมถึงความเคารพหรือชื่นชมในวัฒนธรรมสยามด้วย เพราะเขาต้องมาอยู่ในสยามเมื่อฉันได้เห็นและนำวัฒนธรรมที่แตกต่างกลับมา อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์บางคนอธิบายว่าการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมระหว่างวัฒนธรรมนี้ อาจไม่ใช่เฉพาะกับสงครามเท่านั้น
“อย่างเช่น เมื่อก่อนผมจะดูสุโขทัยหรืออยุธยา ในกัมพูชาเราเห็นอาณาจักรที่มี อำนาจทางการเมือง และวัฒนธรรมมากกว่า และคนไทยสมัยนี้ชอบที่จะชื่นชมหรือยอมรับวัฒนธรรมนั้น มีทั้งสองอย่างและก็มีทั้งสองอย่าง” ดร. ธิบดีโดยยกตัวอย่างความสำเร็จของอาณาจักรขอมแห่งอาณาจักรพระนคร
ทำไมไทย เขมร จึงมีข้อพิพาทต่อกันเสมอ
วัฒนธรรมไทย-เขมร นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า เรื่องนี้มีนักวิชาการหลายคนอธิบายแล้วว่า ไทยกับกัมพูชามี “ปัญหา” ต่อกันมาก นี่เป็นเพราะมรดกในยุคอาณานิคม หรือระเบิดเวลาจากอาณานิคม แต่ตามที่ศาสตราจารย์ดร. ธิบอดีเชื่อว่ามันประกอบด้วยปัจจัยของชนชั้นนำในกัมพูชาซึ่งเข้ามาแทนที่แนวคิดที่ฝรั่งเศสหยิบยกขึ้นมาเช่นกัน
สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส หมายความว่า กัมพูชาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2406) ถึงรัชกาลที่ 9 ไทยเพิ่งได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2497 รวมระยะเวลาภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสประมาณ 90 ปี
ดร. ธิบดีอธิบายว่านักวิชาการหลายคนอธิบายว่าการปกครองกัมพูชาของฝรั่งเศสในฐานะอาณานิคมนั้นเป็นการตัดขาดกัมพูชาจากความสัมพันธ์เดิมกับสยาม เพื่อให้กัมพูชาอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเท่านั้นเหมือนก่อนยุคอาณานิคมฝรั่งเศส. ท่านเป็นพระที่เดินทางมาศึกษาในสยามแล้วกลับมากัมพูชาเพื่อสอน ภาษาบาลี ต่อไป ฝรั่งเศสได้สั่งห้ามการเดินทาง ความแตกแยกทางการเมืองและวัฒนธรรมระหว่างกัมพูชากับสยาม
อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นผลมาจากการที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองกัมพูชา คือ การสร้างเอกลักษณ์หรือเอกลักษณ์ของกัมพูชา ขึ้นอยู่กับกัมพูชาที่มีอยู่เหล่านี้เป็นเมืองโบราณทั้งหมดโดยเฉพาะนครวัด
“โดยสังเขป เชื่อกันว่า นครวัด ถูกสร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสเพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณและเป็นศูนย์กลาง ทุกสิ่งหมุนรอบประวัติศาสตร์กัมพูชา เมื่อฝรั่งเศสออกจากกัมพูชาเป็นเอกราชแล้ว ชนชั้นสูงในกัมพูชา ผมยังยอมรับชุดความคิดที่ว่า ฝรั่งเศสกำลังจะมา”
อย่างไรก็ตามดร. ธิบดียังได้เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากเรื่องนั้นให้ฟังด้วย ข้อแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างสิ่งที่ชาวฝรั่งเศสเรียกว่าชาวกัมพูชาคือพวกเขากล่าวว่าผู้คนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในกัมพูชาในช่วงการปกครองของฝรั่งเศสนั้นแตกต่างจากผู้ที่สร้างนครวัด เพราะฝรั่งเศสไม่อยากจะเชื่อ “ผู้ที่ปกครองอย่างคนป่าเถื่อนสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างที่ยอดเยี่ยมได้ ในขณะที่ชาวกัมพูชาเชื่อว่าผู้ที่สร้างนครวัดเป็นชาวเขมรและเชื่อว่าพวกเขาก็เป็นลูกหลานของพวกเขาเช่นกัน
“(ฝรั่งเศส) กำลังทำหลายอย่าง และนั่นก็ร่วมมือกับชนชั้นนำกัมพูชาด้วย ฉันไม่ได้ทำเพียงลำพัง… มันเป็นความร่วมมือระหว่างฝรั่งเศสและกัมพูชา ซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นนำและอยู่ใน ระบอบการปกครองของฝรั่งเศส ”